ตลาดธุรกิจบริหารจัดการอาคารครบวงจร องศาเดือด บริษัทในเครือของบิ๊กแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ ทั้งบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดยเฉพาะ LPN และ ORI หลังจากปรับโครงสร้างองค์กรพร้อมเดินหน้าเข็นธุรกิจในเครือรุกชิงเค้กการบริหารจัดโครงการที่อยู่อาศัย และอาคารเชิงพาณิชย์ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ ทั้งนี้ มีการประเมินจาก LPN พบว่า ตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ในปี 65 รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานและอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 3-4 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
และที่เริ่มเห็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง หากสถานการณ์รัสเซียและยูเครนจบเร็วน่าจะส่งผลดีให้ประเทศไทย ที่อาจจะเห็นการปรับประมาณการในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยตัวเลขล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมุมมองที่ดีขึ้น
LPN ปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจ “แอลพีพี”
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และกรรมการบริษัท บริษัท แอลพีพี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) กล่าวว่า ธุรกิจบริการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ของ LPP ที่ส่งมอบคุณค่างานบริการให้โครงการภายในเครือ LPN และเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจของ LPP จึงต้องการปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจ (UNLOCK INTRINSIC VALUE) เพื่อก้าวสู่การสร้างผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งในปัจจุบันมีการปรับโครงสร้างธุรกิจของ LPP ใหม่ให้ครอบคลุมทุกงานบริการ และมีเป้าหมายที่จะส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในปี 2567
“ศักยภาพของ LPP มีมาก และถึงเวลาที่เราอยากจะนำเสนอความสำเร็จออกไปสู่ภายนอก ตลอด 30 ปีที่ยาวนาน LPP มีความสำเร็จอะไรเกิดขึ้น และทำให้ LPN เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่มีรูปแบบแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างเห็นได้ชัดเจน”
ส่องความเซ็กซี่ธุรกิจ “LPP” รายได้มั่นคง-ไม่มีหนี้-ไม่แบกสินทรัพย์
โดยนายอภิชาติ กล่าวว่า LPP มีความเซ็กซี่ ถ้ามองในเชิงทางการเงินจะมีอยู่ประมาณ 4 ประเด็น เริ่มจากบริษัทมีรายได้อยู่ประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท และภายใน 3-4 ปีข้างหน้าจะโตไประดับ 2,000 กว่าล้านบาท เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้ ยกเว้นในงบการเงินจะเป็นหนี้ผลประโยชน์ของพนักงานเท่านั้น และหากสังเกตบริษัทส่วนใหญ่ที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เงินที่ได้จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำไปชำระหนี้คืนสถาบันการเงิน แต่ LPP จะทำอยู่และในอนาคต คือ เมื่อนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้วจะได้เม็ดเงินมหาศาลเพื่อนำไปลงทุน
อย่างที่สอง เป็นธุรกิจบริการที่ไม่ต้องมีสินทรัพย์ ทำให้ตัวเบาไม่ต้องแบกสินทรัพย์ ไม่มีค่าเสื่อมที่ต้องมาตัดในรอบบัญชี ยกเว้น แอสเสทในส่วนของพนักงานที่เราต้องดูแล
อย่างที่สาม เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปต่อยอดและลงทุน หรือการนำเสนอโมเดลใหม่ๆ เช่น การจะเปลี่ยนค่าใช้จ่ายของบริษัทอื่นมาคืนเป็นรายได้ สิ่งนี้กำลังบอกว่า การลงทุนต่างๆ ของ LPP ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุน ทางบริษัทจะเข้าไปต่อยอดในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ กลับเข้ามาเป็นรายได้หรือกำไรจากการร่วมทุน สุดท้ายการปรับเปลี่ยนนโยบายในเชิงกลยุทธ์ที่เรากำลังทำ จะส่งผลให้ P/E Ratio เติบโตมากกว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ในขณะที่ P/E Ratio ของบริษัทอสังหาฯ ทั่วไปจะอยู่ระดับ 10 กว่าเท่า และในปัจจุบัน LPP มีกำไรสะสมประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งสามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนของ LPP ได้อย่างเต็มที่
โมเดล LPP เข้าตลาดหุ้น หนุน Market Cap บริษัทแม่
สำหรับผลบวกจากการนำ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายอภิชาติ แจงว่า ทาง LPN คาดว่า LPP จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) จะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งผลประโยชน์ยังเกิดกับบริษัทแม่ (LPN) ในฐานะผู้ถือหุ้น ให้มี Market Cap เพิ่มขึ้นจาก 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 64 เป็น 10,000 ล้านบาท
“เรากำลังทำที่อยู่อาศัยให้มีมูลค่า ซึ่งคุณต้องเชื่อในสิ่งที่ผมจะทำ ลองดูคอนโดฯ LPN มีคนซื้อเพื่อปล่อยเช่าสูงที่สุด เพราะคนซื้อสบายใจ คนอยู่ก็สบายใจ เจ้าของก็สบายใจ ราคาเป็นมิตรกับผู้ซื้อด้วย ตอนนี้แบรนด์ LPP เป็นที่รู้จักของผู้อยู่อาศัยในตลาดอย่างมาก ซึ่ง LPP เปรียบได้กับผู้ใหญ่ที่กำลังเติบโตไปเรื่อยๆ มี Story ที่เราเชื่อว่าจะไปได้ และทำได้ ต่อให้อายุมากขึ้นไปอีก 10-15 ปี ยังมีความเซ็กซี่และเท่อยู่ ยังมีโมเมนตัมอยู่” นายอภิชาติ กล่าว
สปีดเร็ว เพิ่มสัดส่วนโครงการนอกกลุ่มสู่ระดับ 50%
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LPP กล่าวถึงทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ LPP ว่า ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาทในปี 2569 โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 64 ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200% คิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ยกว่า 10% ต่อปี
“ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก้าวเข้าสู่ New S-Curve จึงเป็นโอกาสของ LPP ในการสร้างการเติบโตผ่านการรุกและขยายตลาดและให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งมีการจัดวางโครงสร้างใหม่ในกลุ่มธุรกิจบริการอย่างครบถ้วน ขณะที่โครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่จะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นๆ โดยวางเป้าเพิ่มส่วนแบ่งจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 50”
เชื่อมลูกค้า 3 แสนคน สู่แพลตฟอร์มค้าออนไลน์ในชุมชน
น.ส.สมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ LPP ซึ่งอยู่ในแวดวงธุรกิจการบริหารจัดการอาคารมานานกว่า 30 ปี กล่าวว่า บริษัทได้สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการอาคารมาอย่างต่อเนื่อง ถึงปัจจุบัน LPP ยังดูแลทุกโครงการที่ LPN พัฒนาจนถึงปัจจุบันประมาณ 200 โครงการ (นิติบุคคล) ยังดูแลอยู่ 99% มี 160,000 ครอบครัว และผู้พักอาศัยจำนวนกว่า 300,000 คน ไม่รวมงานบริการด้านอื่นๆ จากโครงการนอกกลุ่มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ใน 30 ปีที่ผ่านมา เราดูแลทุกระบบในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัยภายในอาคาร ระบบอาคารเชิงโครงสร้าง และการบริหารด้านการเงินหรืองบประมาณ เงินรับให้ครบถ้วน เงินจ่ายออกต้องคุ้มค่า ความสะอาด และคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อยู่ในความรับผิดชอบของ LPP ถนนทุกเส้นมีโครงการของ LPN อยู่ เราดูแลกลุ่มผู้เช่าสู่การเป็นเจ้าของด้วย รองรับครอบครัวขยายด้วย”
ขณะเดียวกัน LPP ยังมอบบริการพิเศษในการเพิ่มความสะดวกสบายและช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการภายใต้การบริหารจัดการของ LPP โดยขยายธุรกิจสู่บริการบนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ในชุมชน (Community Commerce) ภายใต้ชื่อ “Living24 Store” ให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำกว่าท้องตลาด
‘พรีโม’ เพิ่ม New business ต่อยอดอาณาจักร ORI
ในขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ครบวงจร ที่วันนี้ได้ประกาศแผนโรดแมป “Origin Multiverse” เติบโตแบบพหุจักรวาลสู่อาณาจักรแสนล้านภายในปี 2568 (3 ปีข้างหน้า) และหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างมูลค่าให้พอร์ตเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ คือ การนำบริษัทลูกและบริษัทในเครือเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การขยายพันธมิตรใหม่ๆ สร้างมูลค่าหุ้นและผลตอบแทน กำไรคืนให้ผู้ถือหุ้น
ขณะที่ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ในเครือ ORI ที่ดำเนินธุรกิจดูแลบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เช่น บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator) ได้เร่งวางกลยุทธ์และแนวทางในการรองรับธุรกิจในเครือออริจิ้นฯ ที่เติบโตต่อเนื่องอย่างเต็มที่
น.ส.จตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน360” ว่าในปี 2565 บริษัทจะเพิ่ม New business เพื่อขยายขอบเขตการดูแลผู้บริโภค รวมถึงมีหลากกลยุทธ์ที่จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีโครงการ แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเมนท์ (HHR) และ Wyde Interior มาเพิ่มเติมใน Portfolio พร้อมกับการรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ต่อสัญญาในปีต่อๆ ไป สำหรับกลุ่มบริการ ทั้งอาคารชุดและงานแม่บ้าน
“เรามีจุดแข็งที่ดี คือ การที่บริหารเป็นบริษัท ที่เป็นเหมือน One Stop Service ให้ลูกค้าต้้งแต่ต้นน้ำที่ซื้อคอนโดมิเนียม หรือบ้านพัก เพราะว่าทางบริษัทสามารถให้บริการตั้งแต่ การออกแบบ Interior Design / Set up Furniture / Deep Clean ก่อนย้ายเข้าอาศัย”
สำหรับโครงการที่บริษัทพรีโมฯ ดูแลอยู่ทั้งหมด 67 โครงการ และมีอีก 14 โครงการที่จะเพิ่มเข้ามาในปี 65 ทั้งการบริหารให้โครงการแนวสูงและแนวราบ ปัจจุบันลูกค้าหลักจะเป็นโครงในเครือออริจิ้นสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นลูกค้านอกกลุ่มในโครงการแนวสูง โดยโครงการส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ 70% และในต่างจังหวัด 30%
ในส่วนของโครงการโรงแรมที่ดูแลอยู่ในปัจจุบัน มี 2 โครงการ คือ StayBridge Suites Bangkok Thonglor / Holiday Inn and Suites Siracha และจะมีโครงการใหม่ที่จะต้องบริหารเพิ่มเติมอีก 5 โครงการคือ ibis 3 โครงการ / 1 StayBridge Suites Phromphong / 1 InterContinental Bangkok Sukhumvit 59
“ภาพรวมตลาดบริหารอาคารในปี 65 ยังคงมีเกณฑ์ปกติ และการแข่งขันจะเป็นในเรื่องการนำเทคโนโลยีเพิ่มเข้ามานำเสนอ แต่ราคาในการให้บริหารยังไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ บุคลากรสำหรับการบริหารอาคารยังคงขาดแคลน สำหรับบุคลากรที่มีความรู้พื้นฐานอาคารชุด แต่ยังคงมีบุคลากรที่โยกย้ายจากฝั่งโรงแรมที่มาทดแทน”
เดินหน้าตามแผน เข้าตลาดหุ้น
ตั้งเป้าผู้ใช้บริการ “พรีโม พลัส” กว่า 5 หมื่นราย
น.ส.จตุพร ได้กล่าวถึงผลงานและแจงแผนการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้ถึง 490 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจนี้ โดยบริษัทยังคงเดินตามแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และ ณ ปี 2566 เป้ารายได้ที่ 750 ล้านบาท โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินคือบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด
นอกจากนี้ พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน “พรีโม พลัส” บริการที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการอยู่อาศัย รวมถึงบริการด้าน Wellness ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงผู้พักอาศัยยุค New Normal ตั้งเป้ามีผู้ใช้บริการแอปกว่า 50,000 คนใน 3 ปี
กางแผนธุรกิจ ‘พลัสฯ’ โฟกัสเพิ่มสัดส่วนโครงการลักชัวรี
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ธุรกิจในกลุ่มบริษัทแสนสิริ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาฯ ดำเนินธุรกิจนี้มากกว่า 25 ปี กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2565 ว่า พลัสฯ ยังคงเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มงานบริหารสินทรัพย์ (Asset Management) และงานบริหารจัดการอาคาร (Property Management) ซึ่งปีนี้ พลัสฯ จึงมีแผนการดำเนินธุรกิจที่เน้นการสร้างรายได้ในกลุ่มธุรกิจนี้เป็นหลัก สำหรับโครงการที่อยู่อาศัย จะเพิ่มสัดส่วนโครงการระดับลักชัวรีมากขึ้นโดยชูจุดแข็งเรื่องของ GLOBAL STANDARD และ CUSTOMISE SERVICE
นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการอาคารในโครงการเพื่อการพาณิชย์ ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นของพลัสฯ เช่นกัน ทั้งอาคารขนาดใหญ่ของธุรกิจธนาคารและการลงทุน ธุรกิจโรงพยาบาล สถานศึกษา รวมถึงคอมมูนิตีมอล ที่พลัสฯ ดูแลอย่างมืออาชีพที่เป็นพาร์ตเนอร์เคียงข้างเจ้าของอาคาร ยกระดับมาตรฐานอาคารโดยมุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
“โครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดฯ และโครงการหมู่บ้าน ในปี 65 ยังคงมีการเติบโตและมีโครงการเปิดใหม่อย่างต่อเนื่อง พลัสฯ มองเห็นโอกาสในธุรกิจ เป็นปีที่จะเน้นสัดส่วนการเพิ่มรายได้ในกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการอาคาร ซึ่งพลัสฯ มีความเชี่ยวชาญ โดยในปีนี้พลัสฯ มั่นใจจะเติบโต 15% ได้”
ปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารโครงการที่พักอาศัยกว่า 270 โครงการ โดยคิดเป็นพื้นที่กว่า 13 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.)
อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket